
“เบาหวานลงไตก็เหมือนไฟไหม้บ้านนั่นแหละครับ”

จากวารสารโรคไตของสหรัฐอเมริกา AJKD ได้ตีพิมพ์บทความสรุปเกี่ยวกับภาวะไตเสื่อมจากเบาหวาน ผมได้สรุปประเด็นที่ผมคิดว่าเราหลายคน ไม่ทราบแต่ควรทราบ และเป็นสิ่งที่แก้ยากมากๆ แม้ว่าคุณจะคุม HbA1C จนปกติ มีกระบวนการ Autophagy หรือ Keto-adapted แล้วก็ตาม
กลไกการเสื่อมของไตจากภาวะน้ำตาลสูงไม่ได้เกิดทันที แต่ใช้เวลาเป็นปีๆในการดำเนินความเสียหาย เริ่มต้นจากการที่น้ำตาลในเลือดนั้นสูงมากจนอยู่ระดับที่เป็นพิษ หน่วยกรองของไตจึงพยายามขับออกมากขึ้น โดยการเพิ่มปริมาณเลือดที่ไปไตมากขึ้น ส่งผลให้แรงดันในหลอดเลือดฝอยที่ไตนั้นเพิ่มสูง เพิ่มความเสียหายต่อเส้นเลือดที่ไตได้โดยตรง
มิหนำซ้ำถ้าไต Clear น้ำตาลไม่ทัน น้ำตาลในเลือดที่สูงก็จะไปเกาะกับโปรตีนที่อยู่ตามหน่วยไต มีการ Glycation ทำให้โปรตีนดีๆนั้นเสื่อมสภาพ เซลล์ที่ควรทำหน้าที่ได้อย่างปกติก็จะเสียฟังก์ชั่นไป
นอกจากนี้ระดับอินซูลินที่สูง ยังสัมพันธ์กับสารตัวกลางที่ชักนำการอักเสบ ทำให้มีการอักเสบเกิดขึ้นและนำมาสู่ความเสียหายทั้งบริเวณหลอดเลือดและหน่วยไตที่ทำหน้าที่กรองของเสีย

เมื่อเราปล่อยให้ความเสียหายเกิดขึ้นทุกวันไปเรื่อยๆ %ของความเสียหายจะยิ่งเพิ่มขึ้นจนเราสามารถมองเห็นความเปลี่ยนแปลงของเซลล์ในกล้องจุลทรรศน์ได้ อาทิเช่น เยื่อเลือกผ่านที่กรองสารต่างๆในเลือดหนาตัวมากขึ้น เซลล์ที่หน่วยไตเพิ่มจำนวนมากขึ้น สุดท้ายเซลล์ในหน่วยไตก็จะรับไม่ไหว ตายกันไปกลายเป็นโปรตีนที่เสื่อมสภาพหรือที่ผมชอบเรียกว่าผังผืดหรือแผลเป็นนั่นแหละ เนื้อไตจะเหี่ยวแข็งๆเป็นตะปุ่ตะป่ำไม่เรียบเหมือนไตปกติ
โชคดีที่กว่าไตจะฝ่อจากเบาหวานมันใช้เวลานานหลายปี แต่โชคร้ายที่หลายคนมีภาวะน้ำตาลสูงมานานหลายปีแต่ไม่รู้ตัว เพราะคิดว่าตนไม่ได้มีอาการผิดปกติอะไร จึงปล่อยให้เวลาล่วงเลยจนมีภาวะแทรกซ้อนเกิดขึ้น หรือรักษากันตามยถากรรมไปเรื่อยๆ
เพราะฉะนั้นเวลาเราไปคลินิคเบาหวานเค้าจะให้เราเก็บฉี่ ไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อที่จะทำคุณไสยอะไรนะครับ แต่เค้าจะดูสิ่งที่เรียกว่า Albumin หรือที่เราเรียกกันติดปากว่าโปรตีนไข่ขาว เพราะ albumin ที่รัวน้อยๆหรือ microalbumin เนี่ย เป็นสัญญาณแรกๆของการเสื่อมสภาพของไตจากเบาหวาน ลองเช็คสมุดตรวจสุขภาพกันดูนะครับ
แล้วถ้าหากปล่อยไว้จนไตกรองของเสียไม่ได้ ไข่ขาวรั่วมากๆ ดูดกลับของดีๆไม่ได้จะเกิดอะไรขึ้น?
ต้องบอกว่าเวลาเป็นเบาหวานแล้วหลอดเลือดที่ไตมีปัญหา ส่วนใหญ่มันไม่ได้เป็นแค่ที่ไตนะครับ แต่มันเป็นทั่วตัวไม่ว่าจะเป็นสมอง หัวใจ แขนขา
และวันใดที่ไตรับไม่ไหว ของเสียต่างๆจะเป็นพิษต่ออวัยวะอื่นๆได้โดยตรง ค่าของเสียที่เราตรวจได้ ก็ได้แก่ BUN
BUN จะสูงขึ้น ถ้าสูงมากๆ >70 ขึ้นไปจะส่งผลต่อสมอง ทำให้เบลอเหมือนคนถูกวางยาได้ จนถึงขั้นหมดสติและเสียชีวิต

ภูมิคุ้มกันจะตก ตัวจะบวมน้ำ เพราะโปรตีนที่คอยดึงไข่ขาวในกระแสเลือดนั้นหายไป
แย่สุดก็ปัสสาวะไม่ออกอีกเลย
เบาหวานลงไตก็เหมือนไฟไหม้บ้านนั่นแหละครับ
ถ้าไตแค่เริ่มมีไข่ขาวรั่ว ไตพองขึ้นนิดหน่อย ค่าไตลงมาระดับไม่เกิน 4,5(ESRD) มันก็เหมือนกับไฟไหม้ห้องครัว คุณก็ยังพอที่จะรีโนเวทไหว แม้อาจไม่เหมือนเดิม 100% แต่ก็พอทำกับข้าวได้ให้คุณรอดไปอีกยาวๆ
แต่ถ้าปล่อยไตเหี่ยว ฝ่อ ผังผืดเต็มเนื้อไต มันก็เหมือนไฟไหม้ไปเกือบหมดทั้งบ้านแล้ว จะมานั่งซ่อมก็คงไม่ไหวหรือถ้าพยายามซ่อมก็ต้องใช้เวลานานโข คงต้องหาบ้านใหม่น่าจะง่ายที่สุด
ดังนั้นส่วนใหญ่ของคนที่ไตวายมากๆ อัตราการกรองน้อยกว่า 30 แม้จะดูแลตัวเองดีแค่ไหน ค่าไตก็มักที่จะกู่ไม่ขึ้น แต่ถ้าดูแลดีจริงๆก็อาจไม่ทรุดลงไปอีกได้ แต่ทุกอย่างชีวิตก็จะถูก Limit ไม่ว่าจะเป็นอาหารการกิน การใช้ชิวิตประจำวันต่างๆ
บุคคลเหล่านี้จึงต้องล้างไต รอการเปลี่ยนถ่ายไตจึงจะสามารถกลับมาเย้ว เย้วเหมือนเดิมได้
จากประสบการณ์ส่วนตัวที่ผ่านมา ผมจึงอยากจะเตือนทุกคนว่า “อย่าปล่อยให้เนื้อไตกลายเป็นผังผืด เพราะถ้าไปถึงจุดนั้นมันจะส่งผลต่อชีวิตคุณไปตลอด” ถ้าแค่ไข่ขาวนิดหน่อย ค่าไตไม่เกินระดับ 3-4 ก็ยังพอดึงกลับมาให้ดีได้ ยิ่งแก้เร็วโอกาสกลับมาเป็นปกติก็จะยิ่งเยอะ
Key คือ ทำยังไงก็ได้ให้ HbA1C ปกติโดยที่ไม่พึ่งพิงยาหรือสมุนไพร

สุดท้ายผมก็หวังว่าบทความนี้จะไปถึงคนที่กำลังเป็นเบาหวานหรือคนที่กำลังดูแลคนที่เป็นเบาหวานให้หันมาจริงจังกับการเริ่มต้นใส่ใจเรื่องโภชนาการกันซะที เพราะตอนนี้หมอไตเหนื่อยมาก แทงคอกันวันละหลายๆคน ค่าล้างไต ไม่รวยจริง บอกเลยว่าคุณอยู่ไม่ได้ หรือถ้าอยู่ได้คุณเหมือนไม่มีคุณภาพชีวิตอีกแล้วครับ
ขอบคุณครับ
Diet Clinic by Dr.TIM
Ref.
1. Update on Diabetic Nephropathy: Core Curriculum 2018
Kausik Umanath1,∗,’Correspondence information about the author Kausik UmanathEmail the author Kausik Umanath, Julia B. Lewis2