CholesterolJournals

การศึกษาคนไข้ 30000 คนในจีน ยาวนาน 15 ปี ทำให้เกิดข้อสงสัยในความสัมพันธ์ของคอเลสเตอรอลกับโรคหัวใจและสมองขาดเลือด

Highlight

การศึกษาพบว่าเหตุการณ์โรคหลอดเลือดส่วนใหญ่เกิดขึ้นในกรณีที่ระดับ LDL-C ไม่ได้สูงอย่างเห็นได้ชัด และผู้ป่วยที่ได้รับการบำบัดด้วยการลดโคเลสเตอรอลยังคงมีความเสี่ยงที่หลงเหลืออยู่อย่างมากของโรคหลอดเลือดและหัวใจ แม้ว่าจะบรรลุเป้าหมาย LDL-C ก็ตาม อย่างไรก็ตาม

ความเห็นส่วนตัว

ตัวแปรที่สำคัญที่ไม่ได้พูดถึงคุณภาพของ Diet ว่าผู้เข้าร่วมทานอาหารแบบไหน ซึ่งมีผลมากๆต่อสรีระวิทยาของร่างกาย โดยเฉพาะหน้าตาของ LDL-particle และโดยส่วนใหญ่ในคนที่ไม่ได้ทานอาหารตามธรรมชาติ มีแนวโน้มที่จะเกิดการอักเสบที่สูงกว่าอยู่แล้ว ปัญหาอีกอย่างก็คือหมอไม่เห็นว่าเค้าเจาะเลือดดูตอนไหนเพราะถ้าคนที่เจาะเลือดบ่อยๆจะรู้ว่าค่าไขมันนั้นค่อนข้างจะเหวี่ยงได้มาก ไม่ใช่แค่จากอาหาร แต่จากกิจกรรมและไลฟ์สไตล์ เพราะฉะนั้นคงต้องดูด้วยว่าผล LDL ที่เจาะนั้นใช้เวลานานแค่ไหนในการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจและมีการตรวจไขมันกี่ครั้งกันแน่ ข้อมูลตรงนี้หมอเข้าถึงไม่ได้ สิ่งที่น่าสนใจของผลการศึกษาคือข้อมูลที่สวนทางกันของคนที่อายุมากกว่า 45 ปี กับภาวะเบาหวาน ที่ดูเหมือน LDL ยิ่งน้อยยิ่งเสี่ยงน้อยในคนที่อายุมากกว่า 45 ปี แต่ในทางตรงกันข้ามโรคหลอดเลือดในผู้ป่วยเบาหวานก็มักจะเจอในกลุ่ม LDL มากกว่า 130% การวัดปริมาณของ Oxidized LDL จะช่วยอธิบายเหตุการณ์ของความสัมพันธ์ที่ไม่ชัดเจนดังกล่าวได้มากขึ้น

อย่างไรก็ตาม LDL ถามดูตามกระบวนการเกิดโรคแล้ว แม้จะเป็น Oxidized LDL ที่ทำให้หลอดเลือดตีบ รากปัญหาก็ไม่ได้อยู่ที่ LDL อยู่ดี แต่ตัวที่มา Oxidize นั่นแหละ คือสิ่งที่เราต้องไปจัดการต่างหาก


เกี่ยวกับคุณภาพการศึกษา

Reliability ⭐️⭐️⭐️
Valid-ability ⭐️⭐️⭐️
Applicability ⭐️⭐️⭐️
3/5

ประเด็นโฟกัส

การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อตรวจสอบผลกระทบของโรคเบาหวาน ไตรกลีเซอไรด์สูงและ HDL-C ที่ต่ำต่อความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ และเพื่อสำรวจความสัมพันธ์ระหว่างระดับคอเลสเตอรอล LDL และความเสี่ยง ICVD ในกลุ่มประชากรหลายมณฑลของจีน

รูปแบบการศึกษา

Prospective-Cohort Study การศึกษานี้ติดตามผู้เข้าร่วม 30,378 รายที่มีอายุระหว่าง 35-64 ปี ซึ่งไม่มีโรคหลอดเลือดหัวใจในช่วงการตรวจวัดพื้นฐาน และเต็มใจที่จะเข้าร่วมในการศึกษานี้ ผู้เข้าร่วมได้รับการคัดเลือกจากศูนย์ 16 แห่งใน 11 มณฑลทั่วประเทศจีน ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2535 ถึง พ.ศ. 2536 และมีผู้เข้าร่วมเพิ่มเติมจากปักกิ่งอีก 3,129 คนในปี พ.ศ. 2539 และ พ.ศ. 2542 การศึกษานี้ใช้ระเบียบการของ WHO-MONICA เพื่อรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับเหตุการณ์ของ ICVD และตรวจติดตามแบบ Face to Face ทุกคน

วิธีการเก็บข้อมูล

ใช้ Multistage sampling method* ในการคัดเลือกผู้เข้าร่วมทั้งหมด โดยแต่ละศูนย์ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้นสำหรับแต่ละเพศและในทุกๆ 10 ปี ของแต่ละช่วงอายุ การศึกษานี้บรรลุอัตราการติดตามผลสูงถึง 94% ในกลุ่มปี 1992-1993 ผู้เข้าร่วมทุกคนให้ความยินยอมเป็นลายลักษณ์อักษร และการศึกษานี้ได้รับการอนุมัติจากสถาบันโรคหัวใจ ปอด และหลอดเลือดแห่งปักกิ่ง

[การสุ่มตัวอย่างหลายระดับ (Multistage Sampling) เป็นเทคนิคการสุ่มตัวอย่างที่ซับซ้อน ที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตัวอย่างในหลายระดับ วิธีนี้มักถูกใช้เมื่อไม่สามารถหรือไม่ควรที่จะเก็บข้อมูลจากประชากรทั้งหมดในครั้งเดียว ดังนี้คือกระบวนการการสุ่มตัวอย่างหลายระดับ]

การจัดการข้อมูลและ Biases

การศึกษานี้ใช้วิธีการมาตรฐานในการวัดตัวแปรที่ได้รับ เช่น โรคเบาหวาน ไตรกลีเซอไรด์สูง คอเลสเตอรอล HDL ต่ำ และระดับคอเลสเตอรอล LDL ด้วย Friedewald equation และ Exclude คนที่ไตรกลีเซอไรด์เกิน 400 mg/dl ออกไป

การจัดการตัวกวนของการศึกษา

แบบจำลองการถดถอยตามสัดส่วนของค็อกซ์หลายตัวแปร(Multivariate Cox proportional hazards regression models)เพื่อปรับปัจจัยรบกวนที่อาจเกิดขึ้น รวมถึงอายุ เพศ สถานะการสูบบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอล์ การออกกำลังกาย ดัชนีมวลกาย ความดันโลหิตขณะหัวใจบีบตัว และการใช้ยาลดความดันโลหิต การศึกษายังได้ดำเนินการวิเคราะห์แยกกันหลังจากไม่รวมผู้เข้าร่วมที่ลาออกหลังจากติดตามผลเป็นเวลา 3 ปี เพื่อประเมินอิทธิพลของการ Drop-out ที่มีต่อผลลัพธ์

ผลลัพธ์

Conflict Of Interest

แหล่งเงินทุน China National Grants on Science and Technology, the National Natural Science Foundation, and the Key Laboratory of Remodeling-Related Cardiovascular Diseases, Ministry of Education. The authors disclosed no conflicts of interest related to the study.

Show More

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

Back to top button