Diabetes type IIการแปลผลเลือดความรู้ทั่วไป

อ่าน CGM แบบไม่หลงทาง: แนวทางการอ่านผล CGM ด้วยตัวเองเบื้องต้น

สวัสดีครับผม! หากคุณกำลังใช้เครื่องวัดน้ำตาลแบบต่อเนื่อง (CGM) แล้วคุณใช้การตรวจนั้นเพียงเพื่อดูแค่น้ำตาลจากอาหารที่ทาน คุณอาจไม่ได้ใช้เครื่องมือตัวนี้อย่างคุ้มค่า! บทความนี้ผมจะเล่าการดูค่าน้ำตาลใน CGM เบื้องต้นเป็นภาษาที่เข้าใจง่าย พร้อมย้ำจุดสำคัญที่คุณต้องรู้ในการอ่านค่า CGM ครับผม


CGM คืออะไร?

CGM คือเซนเซอร์เล็ก ๆ ที่วัดระดับน้ำตาลใน น้ำที่อยู่ระหว่างเซลล์ผิวหนัง ซึ่งค่านี้จะมีความใกล้เคียงกับน้ำตาลในเลือดจริง ๆ ของคุณมากที่สุดขณะ Fasting แต่จะมีความคลาดเคลื่อนมากขึ้นเมื่อมีการเหวี่ยงของน้ำตาล แต่ก็ยังสามารถที่ใช้ดู Pattern ได้ และนักวิทยาศาสตร์เองก็กำลังศึกษาการทำนายผลน้ำตาลจากน้ำที่อยู่ระหว่างเซลล์กับอัตราการเกิดภาวะแทรกซ้อน เพื่อนำมาใช้เสริมกับการดูการเกิด Glycation อย่าง HbA1C

สิ่งที่ CGM “ทำไม่ได้”

สำคัญที่สุดคือ: CGM ไม่สามารถใช้ในการวินิจฉัยโรคเบาหวานหรือก่อนเบาหวานได้โดยตรงครับ การวินิจฉัยทางการแพทย์ยังต้องอาศัยผลเลือดมาตรฐานจากห้องแล็บ เช่น ค่า HbA1c (น้ำตาลสะสม) เป็นหลักเท่านั้น! เราใช้ CGM เป็นเครื่องมือเสริมในการประเมินพฤติกรรมและดูการตอบสนองของร่างกายในสถาณการณ์ต่างๆเท่านั้นครับผม


1. น้ำตาลเท่าไหร่ถึงน่ากังวล?

คุณต้องเริ่มจากการเทียบค่า CGM ของตัวเองกับเกณฑ์ทางการแพทย์ก่อนครับ:

ในกรณีที่ค่าน้ำตาลเฉลี่ยหรือ Baseline ของคุณไม่เกิน 110 mg/dL สามารถอิงจากตารางนี้ได้เลยครับ

สัญญาณเตือน (จาก CGM)เกณฑ์ที่ควรปรึกษาแพทย์
น้ำตาลตอนเช้า (ขณะอดอาหาร)≥100 mg/dL (สงสัยก่อนเบาหวาน) หรือ ≥126 mg/dL (สงสัยเบาหวาน)
น้ำตาล 2 ชั่วโมงหลังเริ่มกิน≥140 mg/dL (อาจมีภาวะ Glucose Intolerance)
การกลับสู่ระดับ Baseline ของน้ำตาลหลังทานอาหาร>4 ชั่วโมง (อาจมีปัญหาการนำส่งน้ำตาลเข้าสู่เซลล์)

🔑 สิ่งที่เราอาศัยเป็นหลักในการประเมินผลลัพธ์ของระบบการเผาผลาญในระยะยาวคือ HbA1c ครับ (ค่าที่แสดงน้ำตาลเฉลี่ย 3 เดือน) ส่วน CGM ใช้เพื่อดูว่า “พฤติกรรม” ไหนที่ทำให้น้ำตาลสวิงในแต่ละวันเท่านั้นครับ

American Diabetes Association Diagnostic Criteria for Prediabetes and Diabetes

2. หยุดกลัว “Glucospike” ที่เกินจริง!

ตอนนี้มีการพูดกันเยอะว่า ถ้าน้ำตาลพุ่งเกิน 30 mg/dL หลังกินคืออันตราย! ผมอยากให้คุณทำความเข้าใจใหม่ครับ:

  • คนสุขภาพดี น้ำตาลก็พุ่งได้เยอะกว่านั้น: งานวิจัยในคนหนุ่มสาวที่สุขภาพดีมาก ๆ พบว่า น้ำตาลเฉลี่ยหลังกินอาหารปกติ (มีคาร์โบไฮเดรต) สามารถพุ่งขึ้นไปได้ถึง 40−50 mg/dL โดยไม่มีปัญหาอะไรเลยครับ
  • ค่า 30 mg/dL คือ “ค่าเฉลี่ย” การแกว่งทั้งวัน: ค่านี้รวมถึงการขึ้นลงเล็กน้อยระหว่างวัน หรือจากการกินขนมเล็ก ๆ ไม่ใช่แค่ “มื้อหลัก” ดังนั้น การที่น้ำตาลคุณขึ้น 45 mg/dL หลังมื้อข้าว ไม่ได้แปลว่าคุณกำลังจะแย่ครับ

หัวใจสำคัญ: ไม่ได้อยู่ที่ว่าน้ำตาล “พุ่งสูงแค่ไหน” แต่อยู่ที่ว่าร่างกายคุณ “เคลียร์มันลงได้เร็วแค่ไหน” ต่างหากครับผม!


3. สัญญาณเตือน “น้ำตาลจัดการไม่ทัน” (แม้ยังไม่เป็นเบาหวาน)

ใช้ CGM เพื่อจับสัญญาณที่บอกว่าระบบจัดการน้ำตาลของคุณเริ่มทำงานหนักเกินไปครับ:

สัญญาณที่ควรระวังความหมาย
พุ่งสูงเกิน 180 mg/dL เป็นประจำแสดงว่าตับอ่อนทำงานหนักและเซลล์ดื้ออินซูลินมากจนจัดการน้ำตาลไม่ทันแล้วครับ
น้ำตาลค้างนาน (Plateau Effect)น้ำตาลยังคงสูง (เช่น อยู่ในช่วง 140−180 mg/dL) และไม่ยอมลงสู่ระดับพื้นฐาน แม้จะผ่านไป 2-4 ชั่วโมงแล้ว
น้ำตาลก่อนอาหารเช้ายังสูงมักเกี่ยวข้องกับ ภาวะดื้ออินซูลินในตับ และฮอร์โมนตื่นนอน (Cortisol) ที่ทำให้ตับปล่อยน้ำตาลเกินจำเป็นในตอนเช้า

สาเหตุที่ทำให้ค่า CGM “สูงเกินจริง” (False High Readings)

CGM วัดน้ำตาลใน ของเหลวระหว่างเซลล์ (Interstitial Fluid) ซึ่งมีความแตกต่างจากเลือด และมีความอ่อนไหวต่อปัจจัยรอบข้างมากกว่าครับ

1. การรบกวนจากยาและอาหารเสริม (Medication & Supplement Interference)

สารบางชนิดที่คุณบริโภคเข้าไปสามารถทำปฏิกิริยาเคมีกับเซนเซอร์ของ CGM ทำให้เซนเซอร์อ่านค่าผิดพลาด โดยเฉพาะบางรุ่น:

  • ยาแก้ปวด: Acetaminophen (พาราเซตามอล/Tylenol) ในปริมาณสูง สามารถทำให้ค่า CGM พุ่งสูงขึ้นเกินจริงได้
  • วิตามินซี: การบริโภค วิตามินซี (Ascorbic Acid) ในปริมาณสูง (โดยเฉพาะจากอาหารเสริม) อาจรบกวนเซนเซอร์และทำให้ค่าสูงขึ้นได้
  • ยาอื่น ๆ: ยาบางชนิด เช่น Hydroxyurea (ยาเคมีบำบัด) หรือยาความดันบางตัว อาจมีผลกระทบเช่นกัน ควรตรวจสอบกับคู่มือของอุปกรณ์หรือปรึกษาแพทย์ครับ

2. ปัญหาเฉพาะของเซนเซอร์และการใช้งาน (Sensor & Usage Issues)

ปัญหาที่เกิดขึ้นกับตัวอุปกรณ์หรือบริเวณที่ติดตั้งเซนเซอร์โดยตรง:

  • ช่วง 24–48 ชั่วโมงแรก: เมื่อเปลี่ยนเซนเซอร์ใหม่ ร่างกายจะเกิดการอักเสบเล็กน้อยบริเวณที่ติดตั้ง ทำให้การวัดค่าน้ำตาลยังไม่เสถียร ในช่วงเวลานี้ ค่าที่ได้อาจมีความคลาดเคลื่อนสูงเป็นพิเศษ
  • สารตกค้างบนผิวหนัง: ครีม โลชั่น กันแดด หรือแอลกอฮอล์เจล ที่มีส่วนผสมของน้ำตาลหรือสารเคมีอื่น ๆ หากสัมผัสกับเซนเซอร์โดยตรง อาจรบกวนการวัดค่าได้
  • การขาดน้ำ (Dehydration): เมื่อร่างกายขาดน้ำ เลือดจะมีความเข้มข้นสูงขึ้น และปริมาณของเหลวระหว่างเซลล์จะลดลง ทำให้ความเข้มข้นของกลูโคสในของเหลวระหว่างเซลล์ดูเหมือนจะสูงกว่าความเป็นจริงครับ
  • อุณหภูมิที่สูงมาก: การอยู่ในอุณหภูมิที่ร้อนจัด เช่น การเข้าซาวน่า อาจทำให้การวัดค่าคลาดเคลื่อนได้

3. ปัจจัยทางสรีรวิทยาและสภาวะร่างกาย (Physiological Factors)

แม้ว่าน้ำตาลในเลือดจะสูงจริง ๆ แต่ปัจจัยเหล่านี้อาจทำให้ CGM พุ่งขึ้นสูงกว่าปกติ:

  • ปรากฏการณ์รุ่งอรุณ (Dawn Phenomenon): เป็นการเพิ่มขึ้นของน้ำตาลตามธรรมชาติในช่วงเช้ามืด (ประมาณ 4:00 – 8:00 น.) ซึ่งเกิดจากการหลั่งฮอร์โมนตื่นนอน (เช่น คอร์ติซอลและฮอร์โมนเจริญเติบโต) ซึ่งจะกระตุ้นให้ตับปล่อยน้ำตาลออกมา
  • ความเครียด / การเจ็บป่วย: ความเครียด การเจ็บป่วย หรือการติดเชื้อในร่างกาย จะกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนความเครียด (Cortisol) ซึ่งจะกระตุ้นให้ตับปล่อยน้ำตาล ทำให้ระดับน้ำตาลพุ่งสูงขึ้นจริง ๆ และอาจถูกตีความผิดไปว่าเป็น “False High” ถ้าไม่ทราบสาเหตุครับ

สรุป: ใช้ CGM ให้คุ้มค่า

CGM ยังเป็นเครื่องมือที่เป็นเทคโนโลยีใหม่สำหรับโลกของเรา ความแม่นยำอาจมีความคลาดเคลื่อนเมื่ออ้างอิงจากระดับน้ำตาลจากหลอดเลือดดำของร่างกาย แต่เราสามารถใช้ Pattern ของกราฟเพื่อดูสิ่งต่างๆเหล่านี้ ได้แก่

  1. จับพฤติกรรม: รู้ว่ามื้อไหน กิจกรรมไหนที่ทำให้น้ำตาลคุณสวิงมากที่สุด
  2. ประเมินความเร็วในการเคลียร์: ดูว่าหลังน้ำตาลพุ่ง ร่างกายคุณใช้เวลา 90 นาที หรือ 120 นาที ในการกลับสู่ระดับพื้นฐานได้หรือไม่

จำไว้เสมอครับว่า: HbA1c เสมือนผลสอบปลายภาคที่เรายังใช้ทำนายความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อน ส่วน CGM คือสมุดจดบันทึกพฤติกรรมรายวัน ใช้บันทึกนี้เพื่อปรับพฤติกรรมให้ผลสอบปลายภาคของคุณออกมาดีที่สุดครับผม!

Show More

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

Back to top button