Intermittent Fasting

 Angus Barbieri บุคคลที่แสดงให้เห็นชัดว่าอย่ากลัวการ IF 

การ Fasting แตกต่างจาก calorie restriction ยังไง?

ในปี 1965 ณ มหาวิทยาลัย Dundee นาย Angus Barbieri ชาวสก๊อตแลนด์ กำลังทุกข์ ทรมานจากภาวะโรคอ้วนด้วยน้ำหนัก 207 กก. ได้ตัดสินใจอดอาหารเป็นระยะเวลา 382 วัน โดยอยู่ภายใต้การดูแลของทีมแพทย์

เค้าไม่ทานอะไรเลย นอกจากน้ำเปล่า กาแฟดำ ชา วิตามินรวม รวมถึงแร่ธาตุต่างๆจากที่คุณหมอสั่งให้ เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อน บางครั้งแพทย์ก็นัดมาพบบ่อยๆ เพื่อตรวจเลือด แต่ก็ไม่พบความผิดปกติ จึงอนุญาตให้เค้าทำการอดอาหารต่อได้

ผ่านไป 1 ปี กับอีก 17 วัน น้ำหนักของเค้าลดลง 125 กก. เหลือ 82 กก. ระดับน้ำตาลในเลือดเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 60 mg/dL โดยที่ปราศจากความหิวโหย และยังมีแรงดี ไม่มีอาการของภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ

เมื่อน้ำหนักเหลือ 82 กก.ตามที่ต้องการแล้วเค้าเริ่มกลับมาทานอาหาร โดยการทานไข่ต้มกับ ขนมปังทาเนย และเค้าได้กล่าวว่า แค่นี้ก็รู้สึกอิ่มและมีความสุขแล้ว

นี่คือตัวอย่างของการอดอาหารแบบ สุดโต่ง แบบ the most extreme เพราะฉะนั้น Don’t try this at home

ผมยกตัวอย่างขึ้นมาเพื่อที่จะชี้ให้เห็นว่าการ Fasting ไม่ได้ทำให้คุณตายหรือแย่ลง สถิติที่นานที่สุด ณ ตอนนี้คือ 382 วัน และคุณไม่จำเป็นต้องทำถึง 382 วัน การทำ IF เพียงแค่ 16 ชั่วโมงก็มีประโยชน์แล้ว

คุณยังจำ Minnesota starvation study ที่ผมพึ่งโพสต์ไปเมื่อวานได้ไหมครับ สรุปสั้นๆก็คือ ไม่ได้อด ยังกินทุกวัน แต่ปริมาณรวมน้อยลง

กับกรณีนี้คืออดเลย ซึ่งผลลัพธ์ที่ออกมาน้ำหนักลดเหมือนกัน แต่คนที่ลดปริมาณอาหารในแต่ละวันต้องเจอกับภาวะแทรกซ้อนมากมาย แล้วทำไมคนที่ทำ Fasting ถึงไม่เจอปัญหาตรงนั้น?

สิ่งที่เค้าค้นพบคือ การทำ IF ร่างกายจะสามารถเข้าถึงแหล่งพลังงานสำรองที่ร่างกายเก็บเอาไว้มากมาย นั่นก็คือไขมันในพุง ต้นแขน ขา ก้น ได้ดีมากกว่า ซึ่งผลจากการทำงานของฮอร์โมนต่างๆในร่างกาย จากกราฟในรูปจะเห็นว่า ปริมาณ Fatty acid และ Ketone(ถูกเปลี่ยนมาจากไขมัน เพื่อใช้เป็นพลังงาน) นั่นมากขึ้นเมื่อระยะเวลาผ่านไป ไอเจ้ากระบวนการเบิร์นไขมันตรงนี้จะถูกยับยั้งโดย insulin ซึ่งจะหลั่งเมื่อเราทานอาหารเข้าไป โดยเฉพาะ พวกคาร์โบไฮเดรต นั่นเป็นผลให้ในกลุ่มที่ลดปริมาณอาหาร นอกจากพลังงานรวมที่เข้าไปลดลงแล้ว ยังดึงพลังงานสำรองมาใช้ไม่ได้อีก ร่างกายจึงบอกตัวเองผ่านฮอร์โมนในร่างกายว่า เรากำลังอยู่ในสภาวะย่ำแย่แล้วนะ ถ้ายังใช้พลังงานเหมือนเดิม ตายแน่ๆ ร่างกายจึงต้องลดการเผาผลาญลง เน้นสะสมไว้ก่อน ไม่เหมือนกับกรณีคนที่สามารถฝึกให้ร่างกายดึงพลังงานสำรองมาใช้ได้ดี ต่อให้พลังงานที่กินเข้าไปนั้นลดลง แต่ร่างกายก็ยังบอกว่าชิวๆ สิวๆ มีเหลือให้ใช้อีกเยอะแยะเลย

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นการทำ IF แม้จะมีประโยชน์อย่างมาก แต่ก็มีข้อควรระวังหลายอย่าง คนที่มีโรคประจำตัวควรปรึกษาแพทย์ที่มีความรู้เกี่ยวกับ IF ทุกครั้ง โดยส่วนตัว ผมเคยนำหลักการนี้มาใช้กับผู้ป่วยเบาหวานที่เป็นมากๆ และ monitor ด้วย CGM ผลลัพธ์ที่ได้คือ น้ำตาล จาก 200-300 สามารถลดลงได้เหลือประมาณเฉลี่ย 120 mg/dL ทั้งวัน สามารถเลิกยาฉีดจาก 40 ยูนิตต่อวันจนไม่ต้องฉีด น้ำหนักลดลง แผลเบาหวานดีขึ้น ผลไขมันดีขึ้น โดยที่ไม่หิวโหย หรือหมดแรง

คราวหน้าผมจะเอาตัวอย่างการวิจัยมาให้ดูว่า การทำ IF นอกจากเบิร์นไขมันดีแล้ว ยังสามารถเพิ่มการเผาผลาญได้อีกด้วย ว่าจะแปะวันนี้แต่กลัวจะยาวไป ไม่อ่าน

ขอบคุณมากครับที่อ่านจนจบ

#เพื่อนเบาหวาน#ลดความอ้วนอย่างถูกต้องเพื่อป้องกันเบาหวาน

ปล.บางคนอาจสงสัย เค้าจะเข้าห้องน้ำถ่ายทุก 40-50 วัน *o*

ขอบคุณข้อมูลกราฟจาก

http://naturalhygienesociety.org/articles/fasting1.html

[elementor-template id=”1368″]
Show More

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

Back to top button