โภชนาการพร่องแป้ง

Keto adapted VS Fat adapted

🔥Fat-adapation VS Keto-adaptation🔥

ถ้าหากใครได้ลองทานโภชนาการ Low carb มาซักพัก ก็จะพบว่าน้ำหนักนั้นลดลง มีสัดส่วนที่ดีขึ้น ไขมันบางส่วนหายไป บางคนอาจเจอกับอาการอ่อนเพลีย อยากแป้งและน้ำตาล ปวดหัว แต่ถ้าสามารถผ่านไปได้อาการเหล่านี้จะหายไป คำอธิบายจะอยู่ในสองคำนี้ครับ

ก่อนอื่นเราต้องมาปวดหัวกระบวนการทางชีวเคมีของการสันดาปไขมันกันก่อน😣

🥓กรดไขมันจากอาหาร ไม่ว่าจะเป็น SFA, MUFA, PUFA หรือที่สะสมอยู่ในตับและเซลล์ไขมัน เมื่อร่างกายมีความต้องการสันดาปไขมันเหล่านี้ จะใช้กระบวนการที่เรียกว่า Beta-oxidation ในการสลายโครงสร้างคาร์บอนออกไปทีละตัว

🥓ระหว่างที่ที่มีการดึงคาร์บอนออกมาจะเกิดพลังงานออกมา และสารสุดท้ายของกรดไขมันที่สลายโครงคาร์บอนจนเกือบหมดจะได้เป็น acetyl CoA ซึ่งจะนำไปวนในวัฏจักรเครปต่อไป ซึ่งกระบวนการนี้เป็นกระบวนการปกติที่ร่างกายเกิดขึ้นได้ทุกวัน

🥓แต่…ตัว “Hepatic” Acetyl CoA ที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆจากกระบวนการ Beta-oxidation และต้องมากพอจริงๆ จะรวมตัวแล้วเกิดใหม่เป็นคีโตนบอดี้ภายในตับ และถูกส่งออกเพื่อให้อวัยวะส่วนอื่นมีการสันดาป

🥓แต่เงื่อนไขในการใช้ ketone body ของร่างกายนั้น จำเป็นต้องเกิดจากการที่ร่างกายไม่สามารถใช้พลังงานจาก Glucose ได้จริงๆ นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมอาหารในยุคปัจจุบันที่ทำให้ Metabolic Flexibility เสียสมดุลไป ร่างกายไม่สามารถเข้าสู่ภาวะที่เรียกว่าคีโตสิสได้ พูดอีกนัยนึงก็คือ มีการลดลงทั้งกระบวนการเผาผลาญไขมัน และหยุดยั้งการใช้คีโตนบอดี้เป็นพลังงานไปอย่างสิ้นเชิง

🥓ย้อนกลับมาที่คำว่า Fat adaptation นั้นหมายถึงการที่ร่างกายเริ่มสัมผัสได้ว่ากำลังขาดกลูโคสในการสันดาปเป็นพลังงาน ร่างกายก็จะมีการเพิ่มกระบวนการสันดาปกรดไขมันให้มากขึ้นด้วย B-ox เริ่มมีการสะสมของ Hepatic acetyl CoA มากขึ้น แต่ด้วยความที่มนุษย์เราตั้งแต่ยุค Baby boomer มาเจอกับอาหารแปรรูปสารพัด ร่างกายถูกสั่งห้ามสันดาป Ketone มาเป็นระยะเวลานาน ไมโตคอนเดรียก็จะมีการแปรสภาพสิ่งจำเป็นที่ใช้ในการสันดาปคีโตนลง ไม่เหมือนตอนแรกคลอดตอนเป็นทารกเบบี๋ ที่ไมโตคอนเดรียเหล่านี้ยังสมบูรณ์ สามารถ Dive in Ketosis ได้ทันทีหลังสันดาปกลูโคสในนมแม่จนหมด ดังนั้นการที่เราลดการเติมกลูโคส หรือติดถ้ำเกินสามวัน จะทำให้เซลล์นั้นอึ้งงไปเลย หลายสิบปีไม่เคยเจอภาวะอะไรแบบนี้ Ketone body ออกมาวิ่งในกระแสเลือดพล่านไปหมด ต้องเร่งรื้อฟื้นผลิตเอาส่วนประกอบที่เคยใช้เป็นเตาเผาคีโตนออกมา ซึ่งมันไม่ได้เกิดในระยะเวลาวันสองวัน

🥓เพราะฉะนั้นหลังจากที่คุณลดการกระตุ้นอินซูลินลง น้ำหนักคุณก็ลง เพราะ น้อง Beta-oxidation นี่แหละ ดีใจเหมือนถูกหวย แต่ทำไมสมองยังเบลอ มีปวดหัว ไม่ค่อยมีเรี่ยวแรง ใช่ครับส่วนนึงมาจากคีโตฟลูเพราะเสียเกลือแร่ แต่อีกส่วนนึงมันคือการที่ร่างกายยังไม่มีการสร้างพลังงานจากตัว Ketone body นั่นเอง

🥓และเมื่อไหร่ที่โครงสร้างทางสรีระวิทยาภายในเซลล์ในไมโตคอนเดรียปรับจนใช้ ketone body ได้เต็มที่ แม้จะมีการทานคาร์บเข้าไปบ้างก็ พอสันดาปกลูโคสหมดก็กลับมาใช้คีโตนได้ทันทีภาวะนี้จะเรียกว่า Ketoadaptation

กล่าวโดยสรุปก็คือ
Fat-adapted คือ ภาวะที่ FFA ถูกนำมาสันดาปมากขึ้น อาจมีการผลิตคีโตนออกมาหรือไม่ก็ได้
Keto-adapted คือ ภาวะที่ร่างกายเอาคีโตนที่เกิดจากกระบวนการ Betaoxidation มาใช้เป็นพลังงาน

ดังนั้นหากจะเข้าสู่ภาวะ Ketoadaptation ต้องผ่าน Phase ของ Fat-adaptation เสมอ แต่ Fat-adaptation อาจไม่เกิด Ketoadaptation เสมอไป ขึ้นกับว่าคุณเข้มกับการสอนไมโตคอนเดรียของคุณแค่ไหน ความสามารถของ Ketogenic diet ที่เหนือกว่าโภชนาการ Low carb อื่นๆจึงเป็นความสามารถในการช่วย Shift จาก Fat-adapted ไปยังจุด Keto-adapted ได้อย่างรวดเร็วนั่นเอง
และในช่วงผลัดเปลี่ยนนั้นคีโตนในกระแสเลือดก็จะออกมาวิ่งกันมากมาย ตรวจฉี่นี่ม่วง ต้องแจ้งตำรวจกันเลย ลมหายใจหอมเหมือนบ้วนน้ำยาล้างเล็บมา แต่เมื่อไหร่ที่ Keto-adapted ได้ดีมากๆแล้ว อาการเหล่านี้ก็จะเริ่มหายไป ฉี่เริ่มหายม่วง ลมหายใจกลับมาเป็นปกติ

🧠สมองเป็นอวัยวะที่จะพยายามรั้งกลูโคสไว้ให้ได้นานที่สุดไม่ว่าน้ำตาลจะต่ำลงแค่ไหนก็ตาม เหมือนคนรักเก่า แต่ถ้าร่างกายขาดกลูโคสนานๆ รู้แล้วว่ารักครั้งนี้รีเทิร์นไม่ได้ สมองก็จะปรับไมโตคอนเดรียตัวเอง หันมามองคนรักใหม่ที่เรียกว่า คีโตน แล้วนี่แหละ คือ รักแท้ ที่หัวใจเคยพร่ำบอกมานาน(❤️หัวใจแทบไม่ใช้กลูโคสเลยนะเออ แม้ว่าน้ำตาลในเลือดจากสูงแค่ไหน)

เพราะอีกหนึ่งอาการที่จะใช้สังเกตได้เมื่อมี Keto adaptation ได้เกือบทั้งหมดแล้ว คือ สมองจะไบรท์มากขึ้น มีสมาธิจดจ่อได้นานขึ้น หัวแล่นฉิว อารมณ์ดี ใครด่าก็ยิ้มให้ แต่ไม่ใช่ยิ้มตลอดเวลานะ อันนั้นบ้า 😁

นอกจากนี้ Ketone ที่ในช่วงแรกของการสร้างแล้วทิ้งๆแบบไม่ใยดี จะถูกนำมาสร้างเป็น ATP หรือพลังงานมากขึ้น เพราะ Ketone 1 โมเลกุลให้ Acetyl coA ถึง 2 ตัวแหนะ ความหิวจะลดลงอย่างมาก แม้จะลดแคลอรี่ลง OMAD ได้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น คุณจะ Energize มากกว่าเดิมเหมือนเปลี่ยนจากถ่านอัลคาไลน์มาใช้พลังงานนิวเคลียร์ ทำงานได้จนคนอื่นด่า ว่าใช้ยาบ้ามาหรือเปล่า อาทิตย์ก่อนแอบเห็นเยี่ยวเธอม่วงอยู่เลย

ในส่วนของผลเลือด แน่นอนว่าน้ำตาลจะต้องต่ำแล้วบางคนที่ Ketoadapted อ่านมีคอเลสเตอรอลที่ลดลงได้นิดหน่อย เนื่องจาก Ketone body ละลายน้ำได้ดี ไม่ต้องใช้ตัวพาไปเหมือนกรดไขมัน แต่ไม่เสมอไป แต่ไม่มีนัยยะสำคัญอะไรมาก เพราะคอเลสเตอรอลจะมากหรือน้อย ก็ไม่มีปัญหา เพราะไม่มีปัจจัยอะไรทำให้เกิดการ Oxidize แล้ว

ที่นี้มาที่คำเฉลยว่าในร่างกายมีเซลล์ไหน ไม่สามารถใช้คีโตนเป็นพลังงานได้
ที่ชัดเจนคือ 1. เม็ดเลือดแดง เพราะไม่มีไมโตคอนเดรีย 2. ตับไม่มีเอนไซม์ในการเปลี่ยน Ketone กลับมาเป็นสารตั้งต้นในการสร้างพลังงาน คือ Acetyl CoA
นอกนั้นมีใช้น้อยมากหรืออาจไม่ใช้เลย ได้แก่ ไขกระดูก, กับใยกล้ามเนื้อประเภท 2B

อาจารย์ป๊อป Diet doctor Thailand มาช่วยเสริมให้ครับว่าอีกอย่างที่ใช้คีโตนได้ก็คือ Renal medulla 😄

ขอบคุณครับที่อ่านกันจนจบ
Diet clinic by Dr.Tim

[elementor-template id=”1368″]
Show More

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

Check Also
Close
Back to top button