งานวิจัยชี้ไขมันพอกไตสัมพันธ์กับไตวาย แต่ดีขึ้นได้ด้วย Autophagy

ไขมันพอกไต
Lipids และเอนไซม์ที่เกี่ยวข้องกับ lipids มีบทบาทสำคัญในการควบคุมการทำงานของเซลล์ glomerular และ tubular cells และสามารถทำให้เกิดโรคไตเรื้อรัง (CKD) ได้ แม้ว่าระดับ lipids ในกระแสเลือดจะปกติก็ตาม กลไกที่ทำให้เกิดการสะสมของ lipids ในไตอาจแตกต่างกันไปตามสาเหตุของ CKD เช่น:
- ในโรคไตจากเบาหวาน: เกิดจากระดับน้ำตาลและกรดไขมันที่สูงขึ้นเนื่องจาก insulin resistance
- ในโรค glomerulonephritis: การอักเสบอาจรบกวนกระบวนการ metabolism ของ lipids ในไตปกติ
Lipids หลายชนิด เช่น cholesterol, triglycerides, fatty acids และ phospholipids มีความผิดปกติใน podocytes, endothelial cells และ tubular cells ซึ่งส่งผลให้ CKD ดำเนินไปในทางที่แย่ลง การสะสมของ fatty acids (ไขมันพอกไต)ทำให้เกิดความเสียหายต่อ mitochondria และเซลล์ไต
อย่างไรก็ตามในเปเปอร์ได้พูดถึงกระบวนการ lipophagy ซึ่งมีผลในการป้องกันความเสียหายนี้
Autophagy และ Lipophagy: กระบวนการสำคัญในการรักษาสมดุลของเซลล์ไต
กระตุ้นการอักเสบ รวมถึง cellular sterile inflammation
กระตุ้น innate immune system และการเกิด fibrosis
- Autophagy:
- เป็นกระบวนการทำความสะอาดเซลล์ โดยย่อยสลายและรีไซเคิลองค์ประกอบที่เสียหายในเซลล์
- มีความสำคัญในการรักษาสมดุลของเซลล์ โดยเฉพาะในภาวะเครียด เช่น การขาดสารอาหารหรือ oxidative stress
- ในไต autophagy ช่วยปกป้องเซลล์ไตจากการบาดเจ็บและการทำงานที่ผิดปกติ
- กลไกเริ่มจากการสร้าง autophagosome ซึ่งจะห่อหุ้มองค์ประกอบเป้าหมายและรวมกับ lysosome เพื่อย่อยสลาย
- Lipophagy:
- เป็นรูปแบบเฉพาะของ autophagy ที่มุ่งเป้าไปที่การย่อยสลาย lipid droplets ในเซลล์
- ช่วยป้องกันการสะสมของไขมันในเซลล์ โดยย่อยสลายไขมันส่วนเกินให้เป็นพลังงาน
- ในภาวะ DKD การเพิ่ม lipophagy สามารถลดการสะสมของไขมันและป้องกันเซลล์ไตจาก lipotoxicity
- บทบาทใน DKD:
- Autophagy ช่วยรักษาสุขภาพของเซลล์ไต เช่น podocytes, mesangial cells และ tubular epithelial cells
- Lipophagy ช่วยลดการสะสมของไขมันในเซลล์ไต ซึ่งเป็นสาเหตุของการอักเสบและพังผืด
- แนวทางที่น่าสนใจ:
- การใช้สาร modulators ของ autophagy เช่น rapamycin หรือ resveratrol อาจช่วยชะลอการเสื่อมของไต
- การเพิ่ม lipophagy อาจช่วยลดความเสียหายของไตที่เกิดจากไขมัน
- การพัฒนายาที่มุ่งเป้าไปที่ autophagy และ lipophagy ในเซลล์ไตโดยเฉพาะอาจเป็นแนวทางใหม่ในการรักษา DKD
ต่อไปนี้เป็นการสรุปกลยุทธ์การจัดการวิถีชีวิตเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ autophagy และ lipophagy เพื่อฟื้นฟูไต
- การจำกัดแคลอรี่
- การอดอาหารเป็นช่วง (Intermittent Fasting): เช่น วิธี 16:8 หรือ 5:2 หรืออาจมากกว่านั้น
- เน้นอาหารที่มีสารอาหารสูงแต่แคลอรี่ต่ำโดยเฉพาะอาหารที่มาจากธรรมชาติ หาเป็นเบาหวานก็ควรเลี่ยงอาหารที่น้ำตาลสูง
- เพิ่มกิจกรรมทางกาย
- ออกกำลังกายแบบแอโรบิก อย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์
- ฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์
- ทดลองอาหาร Ketogenic หรืออาหารคาร์โบไฮเดรตต่ำ โดยเฉพาะผู้ที่มีภาวะโรคไตเสื่อมจากเบาหวาน
- อาหาร Ketogenic: ไขมัน 70-75%, โปรตีน 20-25%, คาร์โบไฮเดรต 5-10%
- ลดคาร์โบไฮเดรต เน้นไขมันคุณภาพดีและโปรตีน
- เพิ่มสารอาหารและอาหารเสริมที่ส่งเสริม autophagy
- Polyphenols: เช่น resveratrol และ curcumin
- กรดไขมันโอเมก้า-3
- อาหารเสริมสนับสนุน mitochondria เช่น CoQ10 และ alpha-lipoic acid
- ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
- ตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดอย่างสม่ำเสมอ
- ปรับอาหารเพื่อรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่
- ลดความเครียด
- ฝึกสติและเทคนิคการผ่อนคลาย เช่น โยคะ สมาธิ
- นอนหลับให้เพียงพอ 7-9 ชั่วโมงต่อคืน
- ตรวจสุขภาพเป็นประจำ
- ตรวจการทำงานของไตอย่างสม่ำเสมอ
- ปรึกษาแพทย์เพื่อปรับแนวทางการดูแลสุขภาพให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคล
การนำกลยุทธ์เหล่านี้มาใช้ในชีวิตประจำวันอาจช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของ autophagy และ lipophagy ซึ่งอาจส่งผลดีต่อการทำงานของไตและลดความเสี่ยงในการดำเนินไปของโรคไตจากเบาหวาน นอกจากนี้ยังช่วยส่งเสริมสุขภาพเมแทบอลิซึมโดยรวมด้วยครับ
Ref.
Wang Y, Liu T, Wu Y, Wang L, Ding S, Hou B, et al. Lipid homeostasis in diabetic kidney disease. Int J Biol Sci. 2024;20(10):3710-24. doi: 10.7150/ijbs.95216.