Prologue ค่าไตที่ควรรู้

เกริ่นนำ
Prologue: Check ไตตัวเองกันก่อนว่า Content นี้ใช่สำหรับคุณหรือเปล่า
ก่อนจะเริ่มผมอยาก Declare อย่างนึงก่อนว่า ผมไม่ได้มาขายของ ผมไม่ใช่พ่อค้า บทความที่ผมเขียนทุกบทความ ผมสร้างขึ้นจาก Passion เดิมของการเป็นหมอ คือ ผมอยากเป็นหมอที่ตกงาน ผมอยากเห็นคนไข้อยู่บ้านรักษาตัวเองได้บนพื้นฐานของความรู้ ไม่ใช่บนความเชื่อหรือความมั่ว และที่สำคัญ คนไข้ที่มาขอความช่วยเหลือจากผมให้ช่วยมอนิเตอร์บางคนมีปัญหา eGFR ที่ต่ำลงมากๆ แต่กลับไม่ยอมล้างไตด้วยซ้ำ ผมเสียใจทุกครั้งที่ต้องเห็นคนไข้ที่เราดูแลต้องจากเราไปเพราะความเจ็บป่วยต่างๆ ผมไม่ใช่หมอโรคไต แต่ผมก็พยายามอย่างสุดความสามารถในการมองหางานวิจัยหรือความรู้ดีๆที่ใช่ ที่จะสามารถช่วยเหลือคนไข้ของเราได้ และช่วยเสริมการรักษาให้กับหมออายุรแพทย์โรคไตอีกต่อนึง
อย่างที่ผมได้เกริ่นไปก่อนหน้าแล้วว่า “สำหรับผู้ที่ eGFR ร่วงแล้ว” นั้นหมายถึงแบบนั้นจริงๆ ถ้าใครที่ eGFR ยังดีหรือไม่มีอาการผิดปกติ การปรับไลฟสไตล์อาจไม่จำเป็นที่จะต้องเข้มงวดมากๆแบบผู้ที่ eGFR เริ่มร่วง ซึ่งอาจทำให้เสียโอกาสจากการใช้ประโยชน์ในอาหารบางประเภทไป

ที่นี้ลองมาดูเช็คลิสต์กันนิดนึงนะครับว่ามีตามนี้หรือเปล่า
คนที่ eGFR ยังมากกว่า 60 ml/min/1.73m2
1. มีโปรตีนไข่ขาวรั่วมากับปัสสาวะ albuminuria(Albumin Creatinine Ratio >3 mg/mmol หรือมากกว่า 3000 mg/วัน)
2. มีเม็ดเลือดแดงรั่วในปัสสาวะอันเนื่องมาจากสาเหตุทางไต Hematuria(kidney in origin)
3. ระดับเกลือแร่ในเลือดผิดปกติ จากท่อในหน่วยไตผิดปกติ
4. เคยตัดชิ้นเนื้อไตไปตรวจแล้วผิดปกติ
5. ตรวจทาง Imaging แล้วพบโครงสร้างผิดปกติ เช่น มีถุงน้ำหลายใบ ไตเป็นรูปเกือกม้า เนื้อไตบางจากทางเดินปัสสาวะส่วนปลายอุดตัน
6. เคยผ่าตัดเปลี่ยนไต
คนที่ eGFR น้อยกว่า 60 ml/min/1.73m2
1. ตรวจพบ eGFR น้อยกว่า 60 ml/min/1.73m2 เกิน 2 ครั้งภายในระยะเวลา 90 วัน
อ้างอิงตาม the renal association ของอังกฤษ
ถ้าใครเข้าเกณฑ์หรือสนใจก็ไปเริ่มกันเลยครับ
(eGFR = estimated glomerular filtration rate คือ อัตราการไหลของเลือดผ่านตัวกรองไตในหนึ่งนาที โดยเป็นค่าที่ได้จากการคำนวณ Creatinine เพศ อายุ และเชื้อชาติของผู้รับการตรวจแต่ละคน)
การแบ่งระยะของโรคไต
โดยเราจะแบ่ง Stage ของโรคไตตามความสามารถในการกรองของเสียที่เหลือโดยดูจาก eGFR ในใบแลปที่มักตรวจคู่กับ BUN และ Cr โดยจะมีทั้งหมด 6 Stage คือ 1,2,3A,3B,4,5 ที่ต้องแบ่ง Stage 3 เป็น A,B เพราะอัตราตายต่างกันมาก ถ้าเข้าเขต 3B อัตราตายกระโดดสูงขึ้นกว่า 3A มนุษย์โรค 3B บางคนเริ่มที่จะกระตุ้นเม็ดเลือดแดงไม่ได้(Epo-producing fibroblasts diminished) จัดการวิตามิน D ไม่ได้(Proximal Tubule ลดการดูดกลับและสร้าง Active Form ไม่ได้)
นอกจากนี้อีกเรื่องที่ควรรู้คือ ค่า eGFR มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาตามกิจวัตรที่ทำ อาหารที่ทาน ชั่วโมงที่ฟาส สภาพร่างกายอื่นๆ ขึ้นได้ลงได้เหมือนตลาดหุ้น ดังนั้นเราจะใช้ค่าเฉลี่ย eGFR 3 เดือน ในการบอกว่า eGFR ของเรานั้นประมาณเท่าไหร่กันแน่
วิธีดูว่าเราอยู่ใน Stage ไหนผมมีวิธีนับง่ายๆ คือให้เริ่มจาก 0 และเพิ่มทีละ 15 ml/min/1.73m2
Stage 5 eGFR=0-15
Stage 4 eGFR=15-29
Stage 3B eGFR=30-44
Stage 3A eGFR=45-59
“2 stage ล่างนี้ เวลาตรวจเลือดไม่ต้องตกใจที่เค้ารายงาน Stage มา ให้ย้อนไปดู Checklist ด้านบน ถ้าไม่มีถือว่าปกติ”
Stage 2 eGFR=60-89
Stage 1 eGFR= >90
(KDIGO 2012)
ทีนี้ผมขอซาวน์เสียงหน่อยละกันครับ คอมเม้นต์ว่าแต่ละท่านอยู่ใน Stage ไหนกันบ้าง
จากข้อมูลข้างต้นเป็นการประเมินสภาพไตโดยรวม บางท่านอาจเกิดคำถามขึ้นมาในห้องหัวใจว่า สาเหตุของโรคไตมีเยอะแยะ แนวทางการรักษาที่หมอทิมจะพูดต่อมันจะเหมือนกันเหรอ
หมอทิมก็จะมากระซิบข้างหูว่า ไม่เหมือนครับ ต่างกันนิดหน่อย ส่วนที่ต่างผมคุณหมอเค้าดูตามที่คุณหมอเค้าเรียนมานะครับ แต่ผมจะพูดในฐานะที่ผมใช้ Supermarket หรือตลาดนัดเป็นห้องจ่ายยา ว่าเราจะเลือกเอาอะไรมาใช้รักษาตัวเองได้บ้าง ผ่านประสบการณ์การดูแลคนไข้ส่วนตัว และอยู่บนพื้นฐานของงานวิจัยที่มี ดังนั้นคำแนะนำนี้สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้ทั้งผู้ป่วยที่มีปัญหาโรคไตจากทั้งเบาหวานและที่ไม่ใช่เบาหวาน เช่น โรคภูมิคุ้มกันผิดปกติ(Autoimmue Disorder eg. FSGS) ได้เช่นกันครับ
ผมพบว่าลำพังการรักษาด้วย Low carb whole food นั้นอาจช่วยชะลอผู้ป่วยที่มีการทำงานของไตลดลงได้ในทุก Stage บางคนค่าไตนิ่งไม่ลงไม่ขึ้น แต่บางคนค่าไตกลับลงไปเรื่อยๆ แม้ว่าเบาหวานจะดีแล้วก็ตาม โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ Stage 3B ขึ้นไป ทำให้ผมต้องมานั่งทบทวนถึง สาเหตุของการเกิดโรคใหม่ว่าปัจจัยที่ทำให้เบาหวานแย่ลงคงไม่ได้มีแค่เบาหวาน และภูมิคุ้มกันที่ผิดปกติแล้วแหละ ซึ่งผมพบว่าอาหารที่เราทานนี่แหละ โค้ชพ่อโค้ชแม่ตัวดี
ถ้าจะเปรียบไตเหมือนชักโครก มันก็คือที่รับของเสียดีๆนี่เอง เป็นอวัยวะที่ต้องได้รับของเสียจากอวัยวะภายในที่เยอะแล้ว ยังต้องเจอกับอาหารห่วยอีก พระเจ้าเลยให้มันมาถึง 2 ข้าง
Paracelsus บิดาแห่งวิชาพิษวิทยากล่าวไว้ว่า “สารทุกชนิดเป็นพิษและไม่มีสารใดที่ไม่เป็นพิษ” แต่พิษจะเกิดก็ต่อเมื่อเราได้รับสารนั้นในปริมาณที่มากเกินไป เช่น ยาพารา ถ้าได้รับเกิน 4000 mg ต่อวันนั่นคือเราจะเริ่มได้รับพิษจากพาราเพิ่มเติมขึ้นมานั่นก็คือตับอักเสบ แต่ถ้าใช้ปริมาณที่เหมาะสมเราก็จะได้ประโยชน์ เช่น ลดปวด ลดไข้สูง ได้

ข้าว แป้ง ผลไม้ก็เป็นอีกตัวอย่างนึง ถ้าเราได้รับข้าวในปริมาณสะสมในร่างกายที่มากจนเกินไป พิษของมันก็แสดงออกในรูปของเบาหวานและไขมันสูง แต่หลายคนมักมองข้ามเพราะกว่าจะเกิดพิษต้องได้รับปริมาณสะสมที่ค่อนข้างมากๆ และที่สำคัญคิดว่าอาหารคืออาหาร กินได้ไม่จำกัด ยังไงก็ปลอดภัย
ร่างกายจึงสรรสร้างอวัยวะหน้าตาคล้ายถั่วแดงขึ้นมาก มีท่อน้ำเลือดเข้า และมีท่อน้ำออกพิเศษเป็นน้ำใสเหลือง เรียกว่าปัสสาวะ เพื่อที่จะขับปริมาณสารเคมีต่างๆที่ถ้ามีมากก็เป็นพิษ อันไหนขาดก็สามารถดูดกลับได้ ดังนั้นไตหน้าที่สำคัญอย่างนึงก็คือคอยรักษาปริมาณของสารเคมีในร่างกายไม่ให้มากเกินจนเป็นพิษ แต่ก็คงระดับที่ร่างกายยังคงได้ประโยชน์
ดังนั้น หลักการก็คือในคนที่ค่า eGFR ลดลงความเสี่ยงในการสะสมของสารเคมีเหล่านี้จึงมากขึ้น และไตก็เป็นชักโครกที่ท่อเริ่มตัน เริ่มกดไม่ค่อยลงหรือกดลงช้า ถ้าวันๆมีแต่คนเข้าไปขี้ มันก็จะเละ(นึกถึงสมัยห้องน้ำโรงเรียน T^T) ถ้าเราหนีไปขี้ห้องน้ำครู หรือเลิกขี้ไปเลย ห้องน้ำเราก็จะสะอาดมากขึ้น 555+ พูดอีกแง่ก็คือก็ลดของเสียที่เติมเข้าไปนั่นแหละ ทำให้ผู้ป่วยเหล่านี้จึงไม่สามารถรับปริมาณอาหารที่เท่าเดิมหรือแบบเดิมได้อีกต่อไป เพราะอาการต่างๆเช่น บวมน้ำ เกลือแร่ในเลือดผิดปกติ เป็นเพียงผลลัพธ์ที่ตามมาจากไตที่ก๊งไปชั่วคราวอันเนื่องมาจากไตมีของที่เป็นพิษอยู่สูง ถ้าเราลดของที่เป็นพิษลงได้ อาการเหล่านี้ก็จะหายไป แม้ว่า eGFR ของเราจะต่ำเตี้ยเรี่ยดินก็ตาม ยกตัวอย่างเช่น อัตราการกรองของเรา 50 แต่อาหารที่ทานต้องใช้อัตราการกรอง 60 แบบนี้ก็จะมีอาการผิดปกติตามมา แต่ถ้าปรับอาหารที่ทานที่ใช้อัตราการกรองแค่ 40 เราก็จะทานได้โดยที่ไม่มีปัญหามีอัตราตายไม่ต่างจากคนปกติเท่าไหร่ แม้ว่าอัตราการกรองของเราจะอยู่ที่ 50 ก็ตาม
โดยในบทความชุด “ฟื้นโรคไต ไปกับหมอทิม” ผมจะยกเอาปัจจัยจากอาหารที่ผมคิดว่ามีมากเกินไปแล้วจะเป็นปัญหากับไตของคนป่วย ในทุกๆมิติที่ผมรู้ เอาสร้างเป็นเนื้อหาในแต่ละ EP ได้แก่
1. PRAL(Potential Renal Acid Load) :หรืออาหารที่พอเข้าสู่กระแสเลือดแล้วทำให้เลือดเป็นกรด
2. Protien wastes or Uremia :โปรตีนจากอาหารที่ทำให้มี Urea หรือของเสียคั่งหรือสะสม
3. Inflammation :สารหรือาหารที่ก่อการอักเสบในร่างกายโดยเฉพาะที่ไต
4. Antioxidants :สารหรือาหารที่จะช่วยลดความเสียหายจากการอักเสบ
5. AGE’s(Advance glycation end products) :สารหรืออาหารที่จะถูกน้ำตาลไปกัดเกาะแกะจนเป็นอันตรายต่อเนื้อเยื่อของร่างกาย

โดยผู้ป่วยที่มีปัญหาค่าไตแล้ว โดยเฉพาะ Stage 3B ขึ้นไป “จำเป็น”ต้องปฏิบัติให้ได้ในทุกมิติ 5 ข้อด้านบน ฟังดู Extreme แต่ก็นั่นแหละครับถ้าต้องการให้ไตไม่แย่ลงหรือดีขึ้น มันก็จำเป็นต้อง Extreme เหมือนถ้าคุณขับรถมาที่ความเร็ว 160 กม./ชม.แล้วคุณรู้ว่าข้างหน้าเป็นกำแพง ถ้าคุณเบรคแต่รถคุณยังวิ่ง 120 คุณก็ตายอยู่ดี คุณจำเป็นต้องเบรคให้เหลือ 10 กม./ชม. คุณถึงจะรอด
แต่เชื่อผมเถอะครับว่า ไม่มีอะไร Extreme ไปกว่าชีวิตที่ต้องล้างไตทางหน้าท้องวันละ 4 ครั้ง หรือไปฟอกเลือดทุกสองถึงสามวัน แถมต้องลุ้นว่าโรคหัวใจกำเริบวันไหน วันที่ล้างจะมีภาวะแทรกซ้อนมั้ย เห็นด้วยไหมครับ
ใน EP. หน้า ผมจะเริ่มลงรายละเอียดที่ละตัวเกี่ยวกับปัจจัยข้างบน
อย่าลืมกดไลค์ กดแชร์ถ้าคิดว่าบทความนี้ดี ใครที่เข้ามาอ่านช่วยกันคอมเม้นต์ ไม่รู้จะเม้นอะไรก็ใส่สติกเกอร์มาก็ได้ครับ
ผมมี Clubhouse Fight For Fit By Dr.Tim ทุกวันพฤหัสบดี เวลา 20:30 น. เอาไว้พูดคุย แชร์ประสบการ์และขอคำปรึกษา
บทความชุด “ฟื้นโรคไต ไปกับหมอทิม” จะเผยแพร่ทุกวัน อาทิตย์และพุธ เวลา 20:00 น. หลาย EP. หน่อย แต่อย่าพึ่งหนีหายไปกันนะครับ
สำหรับผู้อยากปรึกษาส่วนตัวสามารถทำนัดตามภาพหน้าปก Facebook ได้เลยนะครับ
สำหรับวันนี้ขอขอบพระคุณมากครับ
ด้วยรักจากหมอทิม
Ref.
1. KDIGO 2020 Clinical Practice Guideline for Diabetes Management in Chronic Kidney Disease
[elementor-template id=”1368″]