ผู้ร้ายตัวจริงที่ชื่อว่า”น้ำตาล”


หรือน้ำตาลนั้นคือผู้ร้ายตัวจริง?
“น้ำตาล” เรารู้จักสิ่งนี้มากแค่ไหนกัน
น้ำตาลเป็นคาร์โบไฮเดรต
ตามตำราน้ำตาล เป็นชื่อเรียกทั่วไปของคาร์โบไฮเดรตชนิดละลายน้ำ และมีรสหวาน ส่วนใหญ่ใช้ประกอบอาหาร
มีหลายแบบตามชนิดของโพลิเมอร์ เช่น กลูโคส จัดเป็นน้ำตาลสายเดี่ยว(โมโนแซคคาไรด์) ซูโครสเป็นน้ำตาลสายคู่(ไดแซคคาไรด์)
ความเสื่อมอันเนื่องมาจากน้ำตาล
น้ำตาลเมื่อเข้าสู่ร่างกาย จะมีคุณสมบัติในการเชื่อมตัวเองเข้ากับสารพวกโปรตีน ไขมันและเนื้อเยื่ออื่นๆในร่างกายผ่านกระบวนการที่เรียกว่า กระบวนการไกลเคชั่น(Glycation) ทำให้สิ่งที่ถูกน้ำตาลไปเชื่อมนั้น เสียคุณสมบัติบางอย่างไป เราเรียกสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ว่า Advance glycation end product(AGEs) ซึ่งกระตุ้นให้ร่างกายเกิดกระบวนการอักเสบเกิดขึ้นมากมาย
แต่โดยปกติ กระบวนการ Glycation หาก ไม่มากเกินไปจะเป็นปฏิกิริยาที่สามารถ Reversible ได้โดยที่ไม่ก่อปัญหาใดๆ แต่ในผู้ที่เริ่มมีปัญหาเรื่องระบบเผาผลาญ น้ำตาลถูกจัดการช้าลง กระบวนการ Glycation ก็จะยาวนานขึ้นเรื่อยๆจนถึงจุดที่ย้อนกลับไม่ได้ นำไปสู่ปัญหาอื่นๆตามมาอีกที
ยกตัวอย่างเช่น เม็ดเลือดแดง(hemoglobin) ก็จะกลายเป็น Glycated hemoglobin หรือที่เวลาเราตรวจน้ำตาลสะสม(HbA1C) หรือ ไลโพโปรตีน LDL โดยเฉพาะ small dense LDL ที่ไหลอยู่ในหลอดเลือด สามารถเกิดกระบวนการ Glycation ได้ง่าย แล้วถูกเซลล์เม็ดเลือดขาวบริเวณหลอดเลือดเก็บไปทำลายผ่านกระบวนการ oxidation เนื่องจากตับเองก็ไม่สามารถทำลาย LDL พวกนี้ได้เนื่องจากหน้าตา LDL มันเปลี่ยนไป กลายเป็นภาระของหลอดเลือดที่ต้องมาคอยเก็บพวกนี้แทน ลองนึกภาพขนมปังปิ้ง ขนมปังก็เปรียบเสมือนหลอดเลือด ที่โดนความร้อนผ่านกระบวนการ oxidation ของ AGEs นานๆไปก็จะไหม้ กรอบ ขาดความยืดหยุ่น เป็นสาเหตุของหลอดเลือดอุดตันตามที่ต่างๆ
รูปภาพด้านล่างอีกรูปคือกระดูกอ่อนที่แปรสภาพเป็นสีน้ำตาลจากผลของการที่โปรตีนเสื่อมลง

สรุปก็คือ น้ำตาลในเลือดที่มากเกินไปนานๆ จะทำให้เกิดของเสียในร่างกายตามมาเยอะแยะ ก่อให้เกิดโรคต่างๆตามมาเป็นพรวนและวิถีชีวิตของคนปัจจุบันส่วนใหญ่ก็กำลังเร่งอายุของเราให้สั้นลงด้วยการบริโภคน้ำตาลกันเยอะซะด้วยสิ#เพื่อนเบาหวาน